UFABETWINS ด้วยความเกมที่ลูกหนังเป็นหนึ่งในกีฬาที่แสดง “ความเป็นลูกผู้ชาย” ออกมาได้มากที่สุด จากรูปแบบการเล่นที่ต้องเข้าปะทะกันตลอดเวลา ทำให้ภาพจำของคนที่ทำอาชีพนี้ในสมัยก่อนนั้นต้องมีบ้าดีเดือด มีความห่าม และไม่กลัวใคร
นั่นทำให้นักฟุตบอลที่ไม่ได้เป็นตามขนบนี้ มักจะถูกเป็นเป้าโจมตี ไปจนถึงล้อเลียนว่าเป็นเกย์ ท่ามกลางยุคที่ยังไม่มีการณรงค์เรื่องสิทธิและความเท่าเทียมทางเพศ ไม่ว่าจะชาย-หญิง หรือ LGBTQ+ มากนัก ซึ่งคนที่ประสบกับเรื่องทำนองนี้มากที่สุดในยุค 90s ก็คือ แกรม เลอ โซซ์ อดีตแบ็คซ้ายของ เชลซี ติดตามเรื่องราวสุดทรมานของ
แบ็คจอมบุกทีมชาติอังกฤษ ที่ตกเป็นเป้าของการกลั่นแกล้ง มากว่าทศวรรษได้ที่นี่ ขาประจำฝั่งซ้ายเชลซี เส้นทางชีวิตนักฟุตบอลของ แกรม เลอ โซซ์ เริ่มต้นตั้งแต่สมัยที่เขายังอาศัยอยู่ที่เกาะเจอร์ซีย์ เกาะที่ใหญ่ที่สุดในหมู่เกาะชาแนล ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนใต้ของอังกฤษ ใกล้กับแผ่นดินของฝรั่งเศส เมื่อเขาได้เข้าไปเป็นหนึ่งในสมาชิกของทีม
เซนต์ พอล ทีมประจำเกาะตั้งแต่เด็ก ๆ ก่อนที่ผลงานในทัวร์นาเมนท์ท้องถิ่นของเขา จะไปเข้าตา จอห์น ฮอลลิน ผู้จัดการทีมของ เชลซี ในตอนนั้นเข้าอย่างจัง จึงได้เซ็นสัญญาคว้าตัวเขามาเล่นในทีมเยาวชนของสิงห์บลูตั้งแต่ปี 1987 แต่ชีวิตภาคแรกของ เลอ โซซ์ ในสีเสื้อของ เชลซี ไม่ค่อยสู้ดีนัก เพราะแม้ว่าจะได้รับโอกาสลงสนามไปไม่
น้อย แต่ความขัดแย้งกับ เอียน พอร์ทเตอร์ฟิลด์ ผู้จัดการทีม หลังไม่พอใจที่ถูกเปลี่ยนตัวออก และปฏิเสธที่จะนั่งเป็นตัวสำรอง ทำให้เขาถูกขายให้ แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส ในเดือนมีนาคม 1993 และมันก็ทำให้เขาได้แจ้งเกิดอย่างเต็มตัว เมื่อ เลอ โซซ์ ผนึกกำลังกับเหล่าสตาร์ดังอย่าง อลัน เชียเรอร์ และ ทิม ฟลาวเวอร์ส ช่วยให้แบ็คเบิร์น
จบในอันดับ 2 ในฤดูกาลแรกที่เขามาถึง และได้เฮในซีซั่นต่อมา เมื่อแบ็คซ้ายชาวอังกฤษและพรรคพวกผงาดคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้สำเร็จในฤดูกาล 1994-95 ผลงานอันยอดเยี่ยมกับแบล็คเบิร์น รวมถึงการถูกเรียกติดทีมชาติอังกฤษชุดใหญ่ ทำให้ เลอ โซซ์ กลายเป็นที่สนใจจากหลายทีม แต่สุดท้ายก็เป็น เชลซี ที่ทุ่มเงิน 5 ล้านปอนด์
คว้าตัวเขากลับไปร่วมทีม และทำให้เขากลายเป็นกองหลังชาวอังกฤษที่มีค่าตัวแพงที่สุดในตอนนั้น และที่เชลซี ก็ทำให้เขาก้าวขึ้นมาเป็นแบ็คซ้ายชั้นแนวหน้าของอังกฤษ เลอ โซซ์ ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมตั้งแต่ซีซั่นแรก มีส่วนสำคัญทำให้ทีมจบในอันดับ 4 ของตารางพร้อมถูกเลือกติดทีมยอดเยี่ยมพรีเมียร์ลีก และติดทีมชาติอังกฤษ
ไปเล่นฟุตบอลโลกที่ฝรั่งเศส ด้วยสไตล์การเล่นที่ขึ้นสุดลงสุด แถมยังมีทีเด็ดจากลูกตั้งเตะ ทำให้ เลอ โซซ์ ยึดตำแหน่งกราบซ้ายของทีมอย่างถาวร หากไม่มีอาการบาดเจ็บ และช่วยให้ทัพสิงห์บลูส์เกาะกลุ่มอยู่ใน 6 อันดับแรกของลีก รวมถึงคว้าแชมป์ฟุตบอลถ้วยมาได้หลายรายการ ทั้ง ลีก คัพ, ยูฟ่า คัพ วินเนอร์ส คัพ และ ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ
มองอย่างผิวเผิน มันน่าจะเป็นชีวิตที่ดีสำหรับนักฟุตบอลคนหนึ่ง ทั้งการมีรายได้ที่เหมาะสม ได้ลงเล่นอย่างสม่ำเสมอ และติดทีมชาติไปเล่นฟุตบอลโลก แต่ไม่ใช่สำหรับ เลอ โซซ์ ที่เขาเรียกช่วงเวลานั้นว่า “ความทรมาน” นักฟุตบอลที่ถูกบูลลี่มากที่สุด แม้จะมีเส้นทางอาชีพที่สดใส ทั้งในสีเสื้อของ แบล็คเบิร์น และ เชลซี แต่ นอกสนาม
เลอ โซซ์ กลับต้องเผชิญกับการถูกบูลลี่อย่างหนักจากแฟนบอล โดยเฉพาะการกล่าวหาว่าเขาเป็นเกย์ ทั้งที่เขาแต่งงาน และมีลูกแล้วก็ตาม ด้วยความที่ เลอ โซซ์ ไม่ค่อยตรงกับขนบกับนักฟุตบอลทั่วไป ทั้งการใส่ถุงเท้า Pringle (ถุงเท้าแบบผู้ดีอังกฤษ) มาซ้อม การแต่งตัวที่สะอาดสะอ้าน โกนหนวดโกนเคราอยู่เสมอ หรือการชอบไป
งานแสดงศิลปะหรืองานแสดงของแปลกมากกว่าไปเที่ยวกลางคืน รวมไปถึงการชอบอ่านหนังสือพิมพ์ The Guardian ที่เน้นเนื้อหาสาระ ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับสื่อยอดนิยมของเหล่านักเตะที่เน้นความบันเทิงอย่าง The Sun หรือ Daily Mirror นั่นทำให้เขาตกเป็นเป้าของการล้อเลียนมาตั้งแต่สมัยเล่นให้กับ เชลซี ครั้งแรก ในตอนแรกมัน
เป็นเพียงการแกล้งกันแบบสนุกปาก เหมือนรุ่นพี่แกล้งรุ่นน้อง หรือเพื่อนแกล้งเพื่อน แต่หลังจากหน้าร้อนปี 1991 สิ่งนี้ก็เริ่มหนักข้อมากขึ้น มันเริ่มจากฤดูร้อนปีนั้น เลอ โซซ์ และ เคน มอนคู กองหลังเพื่อนร่วมทีม ได้เดินทางไปท่องเที่ยวที่เกาะเจอร์ซีย์ บ้านเกิดของเขา และไปเที่ยวต่อที่ ฝรั่งเศส เบลเยียม และเนเธอร์แลนด์ หลังกลับมาซ้อม
กับทีมในช่วงก่อนเปิดฤดูกาล เพื่อนร่วมทีมก็เข้ามาถามว่าทริปนั้นเป็นไงบ้าง แต่หนึ่งในนั้น (เลอ โซซ์ ไม่ได้บอกว่าเป็นใคร) กลับถามเชิงเย้าแหย่ว่า “นายไปเอาตูดกับไอ้เคนมาเหรอ ?” เลอ โซซ์ ยอมรับว่าเขาควรจะหัวเราะออกมา และมองว่ามันเป็นมุกตลก แต่เขากลับเลือกที่จะเงียบ ซึ่งมันยิ่งทำให้เพื่อนร่วมทีมรุมล้อเลียนอย่างหนัก แน่นอนว่า
เพื่อนในทีมรู้ดีว่าพวกเขาทั้งคู่ไม่ได้มีใครเป็นเกย์ แต่มันก็ทำให้เขากลายเป็นเป้าในการรุมกลั่นแกล้งในห้องแต่งตัว หลังจากนั้นมุก “เลอ โซซ์ ไปเอาตูดกับเคน” ก็กลายเป็นมุกประจำสนามซ้อมเชลซี สำหรับคนล้ออาจจะสนุก แต่สำหรับคนโดนนั้นไม่สนุกเลย เขาไม่ได้มีปัญหากับคนที่เป็นเกย์ แต่การต้องกลายเป็นตัวตลกของเพื่อนร่วมทีมซ้ำ ๆ
ทำให้เขาอึดอัด แต่ฝันร้ายของเขาเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น เมื่อ 2 เดือนต่อมา มุกที่ตอนแรกอยู่ในวงจำกัดได้กลายเป็นสาธารณะ หลังแฟนบอลของ เวสต์แฮม แต่งเพลงล้อเลียนเขาในเรื่องนี้ 7 กันยายน 1991 เชลซีมีคิวไปเยือน อัพตัน พาร์ค ในลอนดอนดาร์บี้แมตช์ ในขณะที่ เลอ โซซ์ ได้บอลทางกราบซ้าย และเตรียมจ่ายโด่งเข้าไปในแดนคู่แข่ง
เขาก็ได้เสียงร้องเพลงของแฟนบอลเจ้าบ้านจากอัฒจันทร์ฝั่ง North Bank ว่า “เลอ โซซ์ ชอบเอาทางตูด” วินาทีนั้น เขารู้ดีว่าชีวิตต่อจากนี้คงจะไม่ง่ายอีกแล้ว เมื่อเรื่องที่เคยแกล้งกันในสนามซ้อม กลายเป็นประเด็นล้อเลียนในสนามของแฟนบอลคู่แข่ง ที่ไม่รู้ว่าจะต้องเจอเรื่องแบบนี้อีกซ้ำ ๆ ไปอีกนานเท่าไร และมันก็ทำให้เขาเครียดกับเรื่อง
นี้มากราวกับตกนรกทั้งเป็น เคสจากในอดีต เลอ โซซ์ ยืนยันมาตลอดว่าเขาไม่ได้มีรสนิยมชอบเพศเดียวกัน แต่ก็ไม่ได้มีปัญหากับนักเตะที่เป็นเกย์ แม้ต้องใช้ห้องแต่งตัวร่วมกัน แต่เขากลัวว่าการถูกเข้าใจแบบผิด ๆ อาจจะส่งผลต่อหน้าที่การงาน เนื่องจากในตอนนั้น เขาเป็นนักเตะดาวรุ่งที่เริ่มได้เล่นอย่างสม่ำเสมอในทีมชุดใหญ่ การถูกเข้าใจว่า
เป็นเกย์ ในสภาพสังคมที่ไม่เปิดกว้างเหมือนสมัยนี้ อาจทำให้เขาถูกปฏิเสธการเซ็นสัญญา หรือถูกดองในทีม เพราะย้อนกลับไปเมื่อ 10 ปีก่อนหน้านั้นอีก เคยมีกรณีที่เกิดขึ้นกับ จัสติน ฟาชานู ว่าที่ยอดกองหน้าแห่งยุค ตอนนั้นเขาคือดาวยิงดาวรุ่งพุ่งแรงของแดนผู้ดี หลังทำผลงานได้อย่างโดดเด่นกับนอริช จนทำให้ ไบรอัน คลัฟ กุนซือ
ของ น็อตติงแฮม ฟอเรสต์ คว้าตัวมาร่วมทีม พร้อมกลายเป็นนักเตะผิวดำคนแรกที่มีค่าตัวถึง 1 ล้านปอนด์ อย่างไรก็ดี หลังย้ายมาอยู่กับทีมเจ้าป่า มีข่าวลืออย่างหนาหูว่าเขาชอบคนเพศเดียวกัน และชอบไปเที่ยวบาร์เกย์ ซึ่งเรื่องนี้ไม่ถูกใจคลัฟเอามาก ๆ ทำให้เขาถูกแยกซ้อมเดี่ยว ก่อนจะถูกปล่อยให้ เซาธ์แฮมป์ตัน ยืมตัวในฤดูกาลต่อมา และ
ขายขาดให้ น็อตส์ เคาน์ตี ด้วยค่าตัวสุดถูกเพียงแค่ 150,000 ปอนด์ และนั่นก็กลายเป็นจุดเริ่มต้นของความตกต่ำในชีวิตนักฟุตบอลของจัสติน เพราะหลังจากนั้นเขาต้องกลายเป็นแข้งพเนจร ย้ายไปเล่นให้ทีมต่าง ๆ ทั้งลีกล่างลีกบน หรือต่างประเทศอย่างสหรัฐอเมริกา แม้ว่าในปี 1990 เขาจะออกมายอมรับว่าเขาเป็นเกย์ หลังให้สัมภาษณ์แบบ
เอ็กซ์คลูซีฟกับ The Sun สื่อจอมอื้อฉาว แต่ดูเหมือนยิ่งกลับทำให้เลวร้ายลงกว่าเดิม เมื่อหลังจากนั้นสโมสรต่างถอยหนีเขา และทำได้เพียงเล่นกับทีมเล็ก ๆ จนกระทั่งแขวนสตั๊ดในปี 1997 ก่อนจะจบชีวิตตัวเองในอีกหนึ่งปีหลังจากนั้น หลังถูกกล่าวหาว่า ข่มขืนเด็กหนุ่มวัย 17 ปี
คลิ๊กเลย >>> https://www.ufabetwins.com/
อ่านข่าวเพิ่ม >>> บ้านผลบอล